9.8.55

เก่งภาษาอังกฤษกับเวลาสั้นๆ

   ผ่านเนื่องนานเพิ่งได้มาอัพเดทบล็อกการบันทึกการเรียนภาษาอังกฤษของผม...สาเหตุที่ผมไม่ได้อัพเดทเนื้อหาบล็อกการเรียนภาษาอังกฤษของผมก็เพราะผมไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเขียนนะซิครับ ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ช่วงที่ีขาดหายไปผมไม่ได้พัฒนาภาษาอังกฤษเลย ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน

  วันนี้ผมได้มีโอกาศได้นั่งเงียบๆ ได้คุยกับตัวเอง เนื่องจากหัวหน้าผมไปเรียนต่อครับ ผมเลยไม่รู้จะคุยกับใคร ผมหวนคำนึงถึงเป้าหมายในการพัฒนาภาษาอังกฤษของผม ซึ่งทุกท่านคงได้เห็น ได้ยิน สื่อทุกสื่อประโคมข่าวเรื่องACE มันเป็นตัวกระตุ้นผมให้อยากพัฒนาภาษาอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง และผมเองค่อนข้างเห็นว่าทักษะภาษาอังกฤษของคนไทย inferior กว่าทุกๆประเทศ มากๆครับ

  สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมไม่สามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้คงเป็นเพราะผมขาดความต่อเนื่อง ขาดความสม่ำเสมอ ในการฝึกฝน ทุ่มเท 

  สาเหตุของการขาดความทุ่มเท ขาดความสม่ำเสมอ ในการฝึกฝนของผมก็คือ ผมรอเวลาว่างๆๆเผื่อที่จะดูหนัง ฟังเพลง และอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ผมรอคอยที่จะหาเวลาอยู่คนเดียวเพื่อเสพสื่อภาษาอังกฤษ ปัญหาคือผมไม่สามารถหาเวลานั้นได้

 วันนี้ได้ไปอ่านบทความเกี่ยวกับการใช้เวลาว่าง ช่วงสั้นๆ  ที่เราอาจเห็นว่าไร้ค่า ไม่ว่าจะเป็นเวลารอแฟนเรามาหา หรือรอแฟนชาวบ้านมาหาก็ตามที แทนทหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาเรานั้นเสีย เราเอาเวลา 5-10นาทีนั้นมาอ่านหรือพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษดีกว่าครับ บทความที่ผมกล่าวถึงผมเห็นว่ามีคุณค่า ควรค่าแก่การรักษาผมจึงได้นำมาบันทึกไว้ ณ บล็อกพัฒนาภาษาอังกฤษของผมเนื้อหามีดังนี้ครับ


"อย่าดูถูกเวลาช่วงสั้นๆที่เรามีในแต่ละวัน เพราะหากรวมกันเข้าแล้ว อาจทำประโยชน์ได้มากมาย ประโยคที่ยินบ่อย ๆ ก็คือ “Everything adds up.”
ถ้าเรามีหนังสือสาคัญเล่มหนึ่งที่ต้องอ่านให้จบ แต่จะรอเวลาว่างยาว ๆ เพื่ออ่านรวดเดียวให้จบ คงเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก
เพราะเวลายาว ๆ เช่นนั้นคงหายาก ถึงแม้จะหาได้แล้ว แต่เราอาจจาเป็นต้องเอาไปใช้ทาอย่างอื่นที่สาคัญกว่า หรือถ้ามุ่งมั่น
ใช้เวลานั้นอ่านจริงจัง ก็จะเป็นงานที่หนักหนาเอาการ และไม่สนุกเท่าที่ควร
อย่างไรก็ดี ถ้าเราใช้เวลาวันละหนึ่งชั่วโมงอ่านหนังสือเล่มนั้นวันละนิดละหน่อยสะสมหน้ากันเข้า ก็อาจจบได้ในสอง
อาทิตย์ หรือหนึ่งเดือนอย่างไม่ต้องตรากตรา และเป็นภาระหนัก
การอ่านคือการเรียนรู้ และการเรียนรู้คือการพัฒนาความสามารถของตนเอง และสร้างความเข้าใจในเรื่อง
ต่าง ๆ ที่ไม่รู้มาก่อน จนเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคมมากขึ้น
ผู้ที่ไม่สนใจ หรือรู้เรื่องการเงินการทองมาก่อน จนในที่สุดสถานการณ์บังคับ ก็สามารถเรียนรู้จากหนังสือวันละเล็ก
วันละน้อยได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องคอยหาเวลาว่างยาว ๆ เรียนรู้สิ่งเหล่านี้
น้าแต่ละหยดประกอบกันขึ้นเป็นมหาสมุทร ทรายแต่ละเม็ดประกอบกันขึ้นเป็นหาดทราย เงินแต่ละบาท
ประกอบกันขึ้นเป็นเงินแสนเงินล้าน เวลาก็เช่นเดียวกัน แต่ละช่วงสั้น ๆ เมื่อรวมกันเข้าแล้วก็เป็นช่วงเวลายาว
เพียงพอสาหรับการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพได้
อย่างเรื่องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้งานได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญของความกินดีอยู่ดีในโลกปัจจุบัน มี
งานวิจัยพบว่า ถ้ารู้คาศัพท์อังกฤษเพียง 4,000 คา ก็จะครอบคลุมประมาณร้อยละ 95 ของคาที่ใช้ในแต่ละวัน เพราะ
คาศัพท์เป็นปัจจัยแรกของการเข้าใจภาษา สมมุติว่าไม่รู้สักคา แต่มีความมุ่งมั่นต้องการรู้ 4,000 คานี้ ถ้าใช้เวลาเล็กน้อยใน
แต่ละวันประกอบกัน ก็สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมดในเวลาเพียงสองปีเศษเท่านั้น
ช่วงเวลาว่างในแต่ละวัน ได้แก่ ตอนรถติด เวลาคอยนัด เวลาเปลี่ยนคาบเรียน เวลานั่งพักผ่อน ฯลฯ ถ้าสังเกต
ดูจะเห็นว่า มีช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้อยู่มากมายอย่างเพียงพอต่อการเรียนรู้ศัพท์ 5 คาต่อวัน ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า มีวินัย มี
ความมุ่งมั่น และจริงกับมันเพียงใดเท่านั้นเอง
ลองจินตนาการดูว่า ถ้าต้องมานั่งท่องคาศัพท์ 2,000 หรือ 4,000 คาในเวลาว่างต่อเนื่องกัน 2-3 เดือนนั้น จะรู้สึกอึด
อัด และขาดประสิทธิภาพเพียงใด
การใช้เวลาช่วงสั้น ๆ ให้เป็นประโยชน์ คือการใช้ทรัพยากรที่แต่ละคนได้รับมาไม่เท่ากัน เพื่ออยู่บนโลก
ใบนี้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง".

ขอขอบคุณ ฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 กันยายน 2555 เวลา 22:34

    ESL คือการเรียนภาษาอังกฤษของNon-English native speakersในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการหรือใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
    เช่น ชาวMaxican เรียนภาษาอังกฤษในประเทศอเมริกา
    โอกาสของนักเรียนที่จะได้สัมผัสและมีประสบการณ์การใช้ภาษาอังกฤษของนักเรียนจะมีมากกว่า EFL learnersค่ะ

    EFL จะเป็นการเรียนภาษาอังกฤษในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือภาษาราชการ
    เช่นนักเรียนไทย ที่เรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทยก็จะมีโอกาสที่จะได้สัมผัสและมีประสบการณ์กับภาษาอังกฤษน้อย ดังนั้นครูในEFL contextก็ควรจะให้นักเรียนมีโอกาสใช้ภาษาในห้องเรียนเยอะหน่อยค่ะ เพราะว่าอาจจะเป็นแหล่งเดียวที่นักเรียนจะได้ใช้ภาษาค่ะ อย่างไรก็ตามนั่นก็ต้องดู Language for a purpose (Savignon, 2002) ด้วยว่านักเรียนมีความต้องการที่จะภาษาอังกฤษระดับไหนค่ะ

    Authentic input คือ การสอนนักเรียนโดยการยกตัวอย่างจากข้อมูลจริงๆที่ไม่ได้make ขึ้นมาค่ะ เช่นเรียนแกรมม่าจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หรือ เรียนศัพท์จาก conversationในหนังหรือเพลงค่ะ เป็นการที่นักเรียนได้เรียนจากของจริงแล้วยังได้ culture and context of the situation ในเวลาเดียวกันค่ะ

    ตอบตามที่เข้าใจมาค่ะ หวังว่าคงจะช่วยได้นะคะ^^

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยม

Blog Archive

ป้ายกำกับ

การทําข้อสอบreading (1) เก่งภาษาอังกฤษในเวลาสั้นๆ (1) เกมภาษาอังกฤษสำหรับอนุบาล (1) ข้อสอบพวก TOEFL (2) ข้อสอบภาษาอังกฤษ (1) ครูพี่แนน (2) คล้องจอง (1) เคล็ดลับการทำข้อสอบreading (2) จำคำศัพท์ (17) เดาศัพท์ภาษาอังกฤษ (9) ติวภาษาอังกฤษตัวต่อตัว (14) ติวศัพท์ (20) ท่องศัพท์ (14) เทคนิคการสอนคำศัพท์ (6) เทคนิคใช้that (1) แนะนำหนังสือภาษาอังกฤษ (6) บทสนทนา (2) บทสนาทนาภาษาอังกฤษ (4) ฟังภาษาอังกฤษ (3) ภาษาอังกฤษ (21) ภาษาอังกฤษกับกฎหมาย (1) ภาษาอังกฤษทางบัญชี (1) รวบรวม25กฎของอาจารย์บุญชัย (1) เร่งสปีด (1) เรียนภาษาอังกฤษ (28) เรียนภาษาอังกฤษราคาถูก (8) สอนศัพท์ (11) หลักการใช้ that (1) อาจารย์สมศรี (1) อ่านภาษาอังกฤษ (1) AX 22 (1) cd เรียนภาษาอังกฤษ (1) CDเรียนภาษาอังกฤษ (1) closing sections (1) Cloze Test (1) conversation (1) dictionary (1) fast-english (1) General knowledge (1) GMAT (1) inferior (1) Language in Daily Life (1) main idea (2) parts of speech (1) prefix and suffix (1) reading comprehension (2) reading skill (2) TOEFL (1) TOPIC NOUN (1) vocabulary (2) vocabulary game (2) word formation (2)
 
Copyright © 2011 เรียนภาษาอังกฤษ | High CTR Blogspot Themes designed by Ali Munandar | Powered by Blogger.Com.
My Zimbio
Top Stories