ในความคิดเห็นส่วนตัวผม/การเรียนภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก/สำคัญกับทุกเพศ/ทุกวัย
แต่การเรียน...วิธีการเรียน...ของแต่ละวัยย่อมแตกต่างกัีน
สำหรับวัยทำงานการที่จะไปนั่งติว...นั่งเรียน...อาจยากลำบาก...เนื่องจากมีภาระหนี้สินที่ต้องจัดการ
แต่หากเป็นวัยเรียน...นักเรียนนักศึกษา...การลงติวแม้จะไม่ใช่หนทางเดียวที่จะทำคะแนนสอบได้ดี
แต่การติวก็ถือได้ว่าเป็นหนทางที่...สะดวกรวดเร็ว...และได้ผล
ดังคำกล่าวที่ว่า...ทุ่มฝึกหนัก 3 ปี...ยังมิสู้ 1 อาจารย์ชี้แนะ
ผมเองเป็นคนที่อ่อนภาษาอังกฤษมากคนหนึ่ง
หากให้ผมไปเรียน/ไปสอบ/แข่งกับเด็กนักเรียน....ผมแพ้ขาดลอยแน่นอน
ดังนั้นแล้วผมเองก็มักเข้าไปเสาะแสวงหาความรู้ตามเวบไซต์ต่างๆ
ที่ผมชอบรูปแบบการสอน...ดูแล้วไม่ง่วง...มีสาระมากมาย
คือของอาจารย์สมศรีและครูพี่แนนครับ
ผมเองซื้อตำราครูพี่แนนมาเก็บไว้...AX22และอื่นๆ
เน้นนะครับ ...ซื้อเก็บนะครับ...ไม่ได้อ่าน
ผมชอบมากก็เป็นสำนัก Enconcept ...ผมเข้าไปอ่านบอร์ดเป้นประจำครับ
วันนี้ผมได้เข้าไปอาจ ..บังเอิญเจอกระทู้... "เรียนครูพี่แนน กับ ครูสมศรี ต่างกันอย่างไรบ้าง"
เห็นว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ...มีประโยชน์...เอาไว้แนะนำลูกหลานครับ
ผมขออนุญาต เอามาให้อ่านดังนี้ครับ
"ส่วนตัวเรียนทั้งสองที่ควบคู่กัน ไม่ก็สลับกันแต่ละเทอม ประทับใจต่างกันคนละแบบครับ
Grammar
พี่แนน - สอนอย่างเป็นระบบมากๆ อันนี้ชอบ แต่บางคอร์สน่าจะไปเร็วกว่านี้หน่อยก็ดีนะครับ แล้วก็จำอย่างมีเหตุมีผล
ครูสมศรี
- ค่อนข้างฮา บางครั้งอะไรที่ต้องจำ เค้าก็มีวิธีจำแปลกๆของเค้า(ตลกดี)
แล้วก็สอนทั้ง Grammar in use และ in exam บางครั้งเค้าแอบเบลอนิดๆ
(เด็กเล่นในห้องเรียนมากไปหน่อย) ก็ต้องมีคนเตือนอะครับ แต่ถือว่าดีพอสมควร
Vocab
ครูสมศรี-
อันนี้ส่วนตัวรู้สึกว่าโวแคบเค้าเริ่ดมากกกก มาเป็นกลุ่มๆ
และเห็นจริงในข้อสอบ วิธีจำของเค้าก็ติดหัว ตลกดี
พูดกระตุ้นให้เด็กกลับไปขยันที่บ้าน แล้วเราก็ต้องกลับไปทวนจริงๆอะ
พี่แนน
- ที่เวิร์กที่สุดคือ Memolody
แต่ต้องขอย้ำว่าบางเพลงจริงๆครับที่มันจำไม่ได้มันก็จำไม่ได้เลย
ในบางครั้งเพลงมีน้ำมากเกินไป
กว่าจะได้กลุ่มศัพท์ก็ร้องภาษาไทยจนลืมหมดแล้ว ส่วนกลอนคำศัพท์
โนคอมเม้นครับเมื่อเทียบกับวิธีจำของครูสมศรี
อ้อเห็นบางเรพบอกว่าเอนคอนสอนให้เดา unseen vocab
ครูสมศรีก็สอนเช่นกันนะครับ
Technology
พี่แนน - กินขาดจริงๆทั้งด้านเทคนิคการถ่ายทำที่เหมือนรายการทีวี มี SELF มีการวางอะไรที่เป็นระบบมากๆ อันนี้ยกให้
ครูสมศรี - เค้าก็มีกล้อง มีทีมงานเหมือนกัน มีตัดภาพ ตัดต่ออะไรเหมือนกันหมด เพียงแต่ยังไม่ professional เท่ากับ E-Studio เท่านั้น
Hospitality
ครูสมศรี
- ให้เป็นสุดยอดเลย
เท่าที่เรียนพิเศษมาแทบทุกสถาบันไม่เคยเจอที่ไหนพนักงานมีอัธยาศัยกับนัก
เรียนดีเท่านี้มาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นสาขาดีวีดี
พนักงานก็ให้ความสำคัญกับน้องๆเหมือนสาขาใหญ่ มี service
ที่ทำให้เหมือนกับรู้สึกอยู่บ้านจริงๆ แบบเรียนแล้วประทับใจมากในส่วนนี้
เอนคอนเสป
- บอกตรงๆว่าสาขาที่ไม่ใช่สาขาพญาไทหรือสยามดิส
เค้าก็ทำเหมือนนักเรียนก็เป็นนักเรียนมาเรียนตามปกติ
บางครั้งทำหน้าบึ้งใส่อีก(บู้ๆ) แต่พี่บางคนก็ดีนะครับ
มีแค่จุดเสียบางคนเท่านั้นเอง ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งฝูง
Reading Tactics
ครูสมศรี - มีหลักการเพียงไม่กี่หลักการก็สามารถวิเคราะห์ modifier ได้ หาverbแท้ หาใจความสำคัญได้พอๆกัน
พี่แนน
- Strategic Structure ก็โอเคครับ
แต่ผมว่ามันเยิ่นเย้อมาไปหน่อยในบางครั้ง กับการที่ต้องมานั่งจำว่า
วงอันนี้ อันนี้ อันนี้ใช้ก้ามปู อันนี้ใช้วงเล็บอะครับ แต่ว่าก็คล้ายๆกัน
กินกันไม่ลงจริงๆ
Morality
ครูสมศรี+พี่แนน
- ดีเยี่ยมทั้งสองคนเลยครับ แต่ครูสมศรีเค้าจะพูดในห้องเรียนบ่อยหน่อย
อีกอย่างเค้าดูเป็นผู้ใหญ่ด้วยมั้ง เลยดูน่าเชื่อถือ
แต่พี่แนนก็ใช่ย่อยครับ profile ด้านนี้ดีพอๆกัน
Class Environment
พี่แนน - สาขาสดอยู่ที่พญาไท ส่วนมากเพื่อนๆในห้องก็เรียนเหมือนนั่งเรียนปกติ มีแซวบ้าง อะไรบ้าง ทั้งนักเรียนและพี่เวียง
ครูสมศรี
- สาขาสดอยู่ที่ศรีย่าน การเรียนในห้องค่อนข้างเหมือนบ้านมากกว่า ชิลๆ
มีแบบ คนนั่งพื้น ตีฉิ่งตีฉาบ ระนาด มีส่งจดหมายมา บางครั้งส่งของกินมาอีก
ก็ฮาๆดี บางครั้งพาหมามาอีกต่างหาก !!
บรรยากาศเลยไม่ค่อยตึงเครียดเท่าไหร่ครับ
ส่วนเรื่องที่ไม่ให้ลงเรียนอีกอันนี้ก็เข้าใจ แต่เคยไปถามครูมามันก็มีเหตุผลว่ามันจะไปกินที่น้องๆจริงๆ
แต่ถ้าใครที่จะซิ่วหรือมีเหตุผลอื่นๆต้องไปติดต่อพนักงานที่เคาเตอร์ดูครับ เค้าก็ไม่ได้ใจร้ายไม่ให้เรียนทุกคนหรอก
ส่วน
ตัวผมเรียนทั้งสองที่ ทำกิจกรรมกับทั้งสองสถาบัน (มากกว่าสองด้วยแหละ
การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ถูกมั้ย?)
ก็ได้ประสบการณ์แล้วความรู้มากในหลายๆด้าน
อีกอย่างอยากให้เรียนครูอาจารย์แบบมีคำนำหน้ากันหน่อยนะ
ครับ ไม่ใช่เห็นชื่อเค้าเป็นชื่อสถาบัน (ถ้ามีคนมาถาม เรียนไร
เฮ่ยกุเรียนแนนว่ะ ก็คงไม่พอใจกันใช่มั้ยครับ
อันนี้อยากให้ช่วยเรื่องการใช้คำกันนิดนึงเนอะ / ครูลิลลี่สอนมา ^^)
ถ้ามีอะไรนึกออกอีกจะมาเพิ่มเติมนะครับ"
25.12.55
24.12.55
ฝึกภาษาอังกฤษโดยไม่ง้อตำรา
การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จล้วนต้องอาศัย...เวลา..ความอดทน..กำลังใจ
การจะเรียนภาษาอังกฤษให้สำเร็จก็เช่นกัน...ต้องอดทน...หมั่นทบทวน...อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่...ต้องอดทนมากเป็นพิเศษ
การเรียนภาษาอังกฤษให้สำเร็จ...การฟังเป็นหัวใจหลัก...เป็นตัวตัดสินว่าเราจะเรียนสำเร็จไหม
ดังนั้นเราต้องฟังมากที่สุดเท่าที่จะฟังได้...
เข้าห้องส้วม...ก็ฟัง
ตื่นนอน..ก็ฟัง
ก่อนนอน...ก็ฟัง
เพราะ Listening is the KEY
การฟังเปรียบเสมือนเราฟังเงินกับธนาคาร
ฝากแบบธรรมดา...ดอกเบี้ยต่ำ
ฝากประจำ...ดอกเบี้ยสูง
แต่ใช่ว่าฟังอย่างเดียวจะเก่งภาษาอังกฤษหรือสื่อสารภาษาอังกฤษได้
เพราะการเรียนภาษาอังกฤษ...เกิดจาการฟังเป็นหลัก...การพูดเป็นรอง
ซึ่งเราจะซึมซับไปเองตามธรรมชาติ...เหมือนอย่างที่เราเรียนภาษาไทย
ฟังและพูดมากแค่ไหน
ลองย้อนกลับไปตั้งแต่แรกเกิด
แน่นอนเราจำไม่ได้หรอกครับว่าเราพูดภาษาแม่ได้คำแรกตั้งแต่ตอนไหน
จากข้อมูล ...เฉลี่ยแล้วจะเริ่มพูดได้ เมื่อใช้เวลาในการฟังประมาณ 1 ปี หรือ 8,760 ชั่วโมง
ช่วงแรกๆจะฟังผิด พูดถูก
ฟังถูก พูดบ้าง
ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา
จุดประสงค์ของบทความความนี้ก็คือ
หากขี้เกียจอ่านหนังสือ...ขี้เกียจท่องศัพท์
ก็ขอให้ฟังเพลงและร้องตามเยอะๆเถอะครับ
การจะเรียนภาษาอังกฤษให้สำเร็จก็เช่นกัน...ต้องอดทน...หมั่นทบทวน...อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่...ต้องอดทนมากเป็นพิเศษ
การเรียนภาษาอังกฤษให้สำเร็จ...การฟังเป็นหัวใจหลัก...เป็นตัวตัดสินว่าเราจะเรียนสำเร็จไหม
ดังนั้นเราต้องฟังมากที่สุดเท่าที่จะฟังได้...
เข้าห้องส้วม...ก็ฟัง
ตื่นนอน..ก็ฟัง
ก่อนนอน...ก็ฟัง
เพราะ Listening is the KEY
การฟังเปรียบเสมือนเราฟังเงินกับธนาคาร
ฝากแบบธรรมดา...ดอกเบี้ยต่ำ
ฝากประจำ...ดอกเบี้ยสูง
แต่ใช่ว่าฟังอย่างเดียวจะเก่งภาษาอังกฤษหรือสื่อสารภาษาอังกฤษได้
เพราะการเรียนภาษาอังกฤษ...เกิดจาการฟังเป็นหลัก...การพูดเป็นรอง
ซึ่งเราจะซึมซับไปเองตามธรรมชาติ...เหมือนอย่างที่เราเรียนภาษาไทย
ฟังและพูดมากแค่ไหน
ลองย้อนกลับไปตั้งแต่แรกเกิด
แน่นอนเราจำไม่ได้หรอกครับว่าเราพูดภาษาแม่ได้คำแรกตั้งแต่ตอนไหน
จากข้อมูล ...เฉลี่ยแล้วจะเริ่มพูดได้ เมื่อใช้เวลาในการฟังประมาณ 1 ปี หรือ 8,760 ชั่วโมง
ช่วงแรกๆจะฟังผิด พูดถูก
ฟังถูก พูดบ้าง
ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา
จุดประสงค์ของบทความความนี้ก็คือ
หากขี้เกียจอ่านหนังสือ...ขี้เกียจท่องศัพท์
ก็ขอให้ฟังเพลงและร้องตามเยอะๆเถอะครับ
เร่งสปีดภาษาอังกฤษ
ขาดหายไปนานไม่ได้อัพเดทบทความเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเลย
ที่ขาดหายไปเพราะผมเองก็ไม่ได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปเจอเหตุการณ์กระตุ้น...เหตุจูงใจ..แรงพลักดัน
ให้ผมเร่งพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษแบบเร่งด่วน..รวดเร็ว..
เหตุการณ์ที่ผมเจอมี 2 เหตุการณ์ครับ
เหตุการณ์แรก...ที่ร้านขายยา
ฝรั่งตาน้ำข้าวจากประเทศไหนไม่รู้..มายืนทำหน้างง...หน้าร้านขายยา
ใช่ว่าเภสัชกรประจำร้านจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
แต่ที่ฝรั่งยืนงง เพราะไม่มีป้ายที่เป็นภาษาอังกฤษ...ป้ายที่บ่งบอกว่า...นี้คือร้านขายยา
เหตุการณ์ที่สอง
ฝรั่งอีกแล้วครับ...ที่ร้านขายอาหาร...เขาสั่งอาหารไม่ได้
เด็กเสริฟ...กุ๊ก...ไม่รู้ว่าฝรั่งอยากกินอะไร
ฝรั่งเองก็อ่านเมนูภาษาไทยไม่ออก
เหตุที่ผมตื่นตนก...เพราะแถวบ้านผมเองเป็นเมืองเล็ก
เมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ...ยังมีฝรั่งมากมายเช่นนี้
ถ้าหากเปิดสมาคมการค้าแห่งอาเซียนแล้วจะเกิดอะไร
แน่นอนพ่อค้าแม่ขาย..หากไม่อยากโดนกลืนเพราะนโยบาย
คงต้องเร่งรีบ..พัฒนาภาษาอังกฤษทุกๆวันแล้วละครับ
ที่ขาดหายไปเพราะผมเองก็ไม่ได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปเจอเหตุการณ์กระตุ้น...เหตุจูงใจ..แรงพลักดัน
ให้ผมเร่งพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษแบบเร่งด่วน..รวดเร็ว..
เหตุการณ์ที่ผมเจอมี 2 เหตุการณ์ครับ
เหตุการณ์แรก...ที่ร้านขายยา
ฝรั่งตาน้ำข้าวจากประเทศไหนไม่รู้..มายืนทำหน้างง...หน้าร้านขายยา
ใช่ว่าเภสัชกรประจำร้านจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
แต่ที่ฝรั่งยืนงง เพราะไม่มีป้ายที่เป็นภาษาอังกฤษ...ป้ายที่บ่งบอกว่า...นี้คือร้านขายยา
เหตุการณ์ที่สอง
ฝรั่งอีกแล้วครับ...ที่ร้านขายอาหาร...เขาสั่งอาหารไม่ได้
เด็กเสริฟ...กุ๊ก...ไม่รู้ว่าฝรั่งอยากกินอะไร
ฝรั่งเองก็อ่านเมนูภาษาไทยไม่ออก
เหตุที่ผมตื่นตนก...เพราะแถวบ้านผมเองเป็นเมืองเล็ก
เมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ...ยังมีฝรั่งมากมายเช่นนี้
ถ้าหากเปิดสมาคมการค้าแห่งอาเซียนแล้วจะเกิดอะไร
แน่นอนพ่อค้าแม่ขาย..หากไม่อยากโดนกลืนเพราะนโยบาย
คงต้องเร่งรีบ..พัฒนาภาษาอังกฤษทุกๆวันแล้วละครับ
5.12.55
ฝึกreadingอย่างไรดี
ณ พ.ศ. นี้ ความรู้ ข้อมูลข่าวสารเพื่อนบ้านในอาเซียนดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ต้องรู้ ต้องเสาะแสวงหา และสิ่งที่จำเป็นต้องรู้มากกว่าก็คงเป็นภาษาอังกฤษนี้แหละครับ เพราะถ้าความรู้ภาษาอังกฤษอ่อน โดยเฉพาะทักษะ reading หากขาดการฝึกฝนให้ซ่ำซองแล้วไซร้ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารย่อมยากลำบาก เพราะข้อมูลต่างๆล้วนเป็นภาษาอังกฤษเสียเป็นส่วนใหญ่
ความจริงแล้วทักษะภาษาอังกฤษที่จำเป็นก็มีทั้ง reading ,speaking,listeningและwriting แต่ผมยกreading เป็นทักษะแรกที่ต้องฝึกให้เก่ง เพราะนอกเหนือการฝึกเพื่อให้รับรู้ข่าวสารจากการอ่านแล้ว การทำข้อสอบGAT พาธ ภาษาอังกฤษ จะว่าจริงๆแล้วข้อสอบก็ทดสอบพาธreadingเป็นหลัก และหากใครทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆแล้วละก็โอกาสที่จะได้เข้าเรียนในคณะที่ตนเองใฝ่ฝันย่อมเป็นไปได้สูง
วันนี้ผมได้เข้าไปอ่าน บล็อก http://intereladsd.blogspot.com เจ้าของบล็อกได้แนะนำวิธีการฝึก reading อย่างไรให้ได้ผล ซึ่งก็คือการอ่านภาษาอังกฤษทุกวัน สม่ำเสมอ จนกลายเป็นกิจวัตร โดยเลือกอ่านในเนื้อหาที่ชอบ ไม่ยาก และไม่ยาวเกินไป เรื่องเลือกบทความที่เราชอบ และไม่ยาก ไม่ยาวผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยครับ เนื่องจากที่ผ่านมาผมสังเกตุผมเอง เวลาที่ผมทำข้อสอบ reading ถ้าบังเอิญเจอบทความที่ชอบ ผมจะมีสมาธิ ในการทำข้อสอบและคะแนนมักจะออกมาดี ทั้งๆที่ผมเองไม่ได้ชอบภาษาอังกฤษและไม่ได้เตรียมตัวสอบแต่อย่างไร
กลยุทธไม่ได้มีไว้ใช้ในเชิงสงคราหรือเชิงธุระกิจเท่านั้น แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาภาษาอังกฤษได้เช่นกันครับ เจ้าของบล็อกดังกล่าวขั้นต้นได้แนะนำกลยุทธในการฝึก reading ไว้น่าสนใจมากเลยครับ
เจ้าของบล็อกดังกล่าวเน้นย้ำด้วยว่า อุปกรณ์ที่แนะนำหากนำมาใช้ฝึก จะสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษได้โดยไม่น่าเบื่อ คือ ได้ผลและสนุกนั้นเองครับ
กลยุทธที่ 2 http://www.gcflearnfree.org/reading
เจ้าของบล็อกแนะนำให้ใช้เวลากับเวบดังกล่าวมากสักหน่อย ผมเองก็ตั้งใจจะฝึก reading เหมือนกัน ผมตั้งใจว่าจะใช้เวลากับเวบดังกล่าวสัก 45-90 นาที แล้วลองมาดูกันครับว่าผมจะเก่ง reading มากขึ้นไหม
ความจริงแล้วทักษะภาษาอังกฤษที่จำเป็นก็มีทั้ง reading ,speaking,listeningและwriting แต่ผมยกreading เป็นทักษะแรกที่ต้องฝึกให้เก่ง เพราะนอกเหนือการฝึกเพื่อให้รับรู้ข่าวสารจากการอ่านแล้ว การทำข้อสอบGAT พาธ ภาษาอังกฤษ จะว่าจริงๆแล้วข้อสอบก็ทดสอบพาธreadingเป็นหลัก และหากใครทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆแล้วละก็โอกาสที่จะได้เข้าเรียนในคณะที่ตนเองใฝ่ฝันย่อมเป็นไปได้สูง
วันนี้ผมได้เข้าไปอ่าน บล็อก http://intereladsd.blogspot.com เจ้าของบล็อกได้แนะนำวิธีการฝึก reading อย่างไรให้ได้ผล ซึ่งก็คือการอ่านภาษาอังกฤษทุกวัน สม่ำเสมอ จนกลายเป็นกิจวัตร โดยเลือกอ่านในเนื้อหาที่ชอบ ไม่ยาก และไม่ยาวเกินไป เรื่องเลือกบทความที่เราชอบ และไม่ยาก ไม่ยาวผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยครับ เนื่องจากที่ผ่านมาผมสังเกตุผมเอง เวลาที่ผมทำข้อสอบ reading ถ้าบังเอิญเจอบทความที่ชอบ ผมจะมีสมาธิ ในการทำข้อสอบและคะแนนมักจะออกมาดี ทั้งๆที่ผมเองไม่ได้ชอบภาษาอังกฤษและไม่ได้เตรียมตัวสอบแต่อย่างไร
กลยุทธไม่ได้มีไว้ใช้ในเชิงสงคราหรือเชิงธุระกิจเท่านั้น แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาภาษาอังกฤษได้เช่นกันครับ เจ้าของบล็อกดังกล่าวขั้นต้นได้แนะนำกลยุทธในการฝึก reading ไว้น่าสนใจมากเลยครับ
เจ้าของบล็อกดังกล่าวเน้นย้ำด้วยว่า อุปกรณ์ที่แนะนำหากนำมาใช้ฝึก จะสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษได้โดยไม่น่าเบื่อ คือ ได้ผลและสนุกนั้นเองครับ
กลยุทธแรกคือ http://www.gcflearnfree.org/reading/play/1
เมื่อเข้าไปแล้วจะมีภาพอยู่ทั้งหมด 42 ภาพ,
1 ภาพ คือ 1 กิจกรรม
ให้เลือกฝึกกิจกรรม Reading ตามใจชอบ
เมื่อเข้าไปแล้ว
มองไปด้านขวามือ จะเห็นคอลัมน์ขวามือใต้ The Activities ซึ่งจะมีทั้งหมด 9 กิจกรรม ให้เลือก
เมื่อเข้าไปแล้ว….
1.อ่านคำอธิบาย และคลิก Start
2.ใต้
Choose a category ให้เลือก 1 กิจกรรมที่จะเล่น (มีทั้งหมด 42 กิจกรรม)
-ถ้ามี text ท่านจะอ่านเลย,
หรือจะคลิกที่ไอคอนรูปลำโพงเพื่อฟังเสียงอ่านก็ได้
(คลิกซ้ำเพื่อฟังซ้ำ)
-ถ้าจะอ่านหรือฟังหน้าถัดไป ให้คลิกรูปสามเหลี่ยม ที่ขอบขวาของหน้า
-ถ้าจะอ่านหรือฟังหน้าก่อนหน้า ให้คลิกรูปสามเหลี่ยม ที่ขอบซ้ายของหน้า
14.11.55
สอนภาษาอังกฤษราคาถูกที่สุดในโลก
ภาษาอังกฤษเป็นปัญหาสำหรับผมตั้งแต่อยู่ป.5เลยครับ หนึ่งในวิธีแก้ที่ผมเคยคิดได้สมัยนั้นคือการไปเรียนที่ต่างประเทศ อาจะเป็นสหรัฐหรือแคนาดา ผมคิดว่าพ่อผมมีปัญญาส่งผมไปเรียน แน่นอนครับพ่อผมทำได้แต่ชีวิตคงจะลำบากชนิดที่เรียกว่าโคตรลำบาก
ปัจจุบันวิธีการไปเรียนที่ต่างประเทศผมก็ยังคิดว่าเป็นวิธีที่ดีสำหรบคนมีเงินแล้วสำหรับคนกลางๆอย่างผมละครับจะเรียนที่ไหนที่สอนภาษาอังกฤษราคาถูกที่สุดบ้าง คำถามที่ว่า ประเทศไหนสอนภาษาอังกฤษถูกที่สุดในโลกจึงผุดขึ้นมาในสมองผม และผมก็ต้องไปถามอากู๋ครับ
คำตอบที่ได้ต้องบอกว่าเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเท่านั้นเพราะผมไม่ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกในการค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่าประเทศไหนที่สอนภาษาอังกฤษที่ถูกที่สุดในโลก ผมค้นหาจากGoogle พบว่า ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่สอนภาษาอังกฤษราคาถูกที่สุดในโลก โดยมีคาเรียนตกที่ประมาณ 15,000 บาทสำหรับคอร์ส 60 ชั่วโมง และเมื่อเทียบราคาคอร์สในสหรัฐและแคนาดาแล้ว จะได้เป็น 1 ใน3 ของราคาประเทศดังกล่าว
ชาวฟิลิปปินส์อ้างว่า พวกเขาพูดด้วยสำเนียงอเมริกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเคยเป็นอาณานิคมเก่าของสหรัฐมานานถึง 5 ทศวรรษ และมีคนจำนวนมากที่ทำงานตามคอลเซ็นเตอร์ให้กับตลาดสหรัฐ ซึ่งพวกเขาได้รับการฝึกสำเนียงจากชาวอเมริกัน จนคนที่พวกเขาติดต่อด้วยไม่รู้เลยว่า พวกเขาอยู่อีกซีกหนึ่งของโลก
นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่มาจากเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่น , ไต้หวัน และเกาหลี แต่เมื่อช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ มีนักศึกษาจากแอฟริกาเหนือ , อเมริกาใต้ และตะวันออกกลางด้วย ซึ่งจำนวนนักศึกษาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของฟิลิปปินส์ ระบุว่า มีคนสมัครเข้าเรียนในปีนี้มากกว่า 24,000 คน ขณะที่เมื่อ 4 ปีก่อน มีเพียง 8 พันคน
ฟิลิปปินส์ให้ราคาตัวเองในฐานะประเทศที่พูดภาษาอังกฤษใหญ่ที่สุด เป็นอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐและสหราชอาณาจักร และยังประกาศความภาคภูมิใจนี้ผ่านทางเว็บไซต์การท่องเที่ยว แต่ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษแค่ขั้นพื้นฐานเท่า มีแต่คนที่ได้รับการศึกษาดีเท่านั้น ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
คนฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ ถูกเรียกว่าพูดภาษาอังกฤษแบบ แต็กลิช หรือ ภาษาอังกฤษปนสำเนียงตากาล็อค ที่ชาวต่างชาติมักจะเข้าใจยาก แต่นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจ เนื่องจากเป็นอุปสรรคเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาราคาย่อมเยาในฟิลิปปิ
ปัจจุบันวิธีการไปเรียนที่ต่างประเทศผมก็ยังคิดว่าเป็นวิธีที่ดีสำหรบคนมีเงินแล้วสำหรับคนกลางๆอย่างผมละครับจะเรียนที่ไหนที่สอนภาษาอังกฤษราคาถูกที่สุดบ้าง คำถามที่ว่า ประเทศไหนสอนภาษาอังกฤษถูกที่สุดในโลกจึงผุดขึ้นมาในสมองผม และผมก็ต้องไปถามอากู๋ครับ
คำตอบที่ได้ต้องบอกว่าเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเท่านั้นเพราะผมไม่ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกในการค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่าประเทศไหนที่สอนภาษาอังกฤษที่ถูกที่สุดในโลก ผมค้นหาจากGoogle พบว่า ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่สอนภาษาอังกฤษราคาถูกที่สุดในโลก โดยมีคาเรียนตกที่ประมาณ 15,000 บาทสำหรับคอร์ส 60 ชั่วโมง และเมื่อเทียบราคาคอร์สในสหรัฐและแคนาดาแล้ว จะได้เป็น 1 ใน3 ของราคาประเทศดังกล่าว
ชาวฟิลิปปินส์อ้างว่า พวกเขาพูดด้วยสำเนียงอเมริกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเคยเป็นอาณานิคมเก่าของสหรัฐมานานถึง 5 ทศวรรษ และมีคนจำนวนมากที่ทำงานตามคอลเซ็นเตอร์ให้กับตลาดสหรัฐ ซึ่งพวกเขาได้รับการฝึกสำเนียงจากชาวอเมริกัน จนคนที่พวกเขาติดต่อด้วยไม่รู้เลยว่า พวกเขาอยู่อีกซีกหนึ่งของโลก
นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่มาจากเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่น , ไต้หวัน และเกาหลี แต่เมื่อช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ มีนักศึกษาจากแอฟริกาเหนือ , อเมริกาใต้ และตะวันออกกลางด้วย ซึ่งจำนวนนักศึกษาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของฟิลิปปินส์ ระบุว่า มีคนสมัครเข้าเรียนในปีนี้มากกว่า 24,000 คน ขณะที่เมื่อ 4 ปีก่อน มีเพียง 8 พันคน
ฟิลิปปินส์ให้ราคาตัวเองในฐานะประเทศที่พูดภาษาอังกฤษใหญ่ที่สุด เป็นอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐและสหราชอาณาจักร และยังประกาศความภาคภูมิใจนี้ผ่านทางเว็บไซต์การท่องเที่ยว แต่ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษแค่ขั้นพื้นฐานเท่า มีแต่คนที่ได้รับการศึกษาดีเท่านั้น ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
คนฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ ถูกเรียกว่าพูดภาษาอังกฤษแบบ แต็กลิช หรือ ภาษาอังกฤษปนสำเนียงตากาล็อค ที่ชาวต่างชาติมักจะเข้าใจยาก แต่นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจ เนื่องจากเป็นอุปสรรคเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาราคาย่อมเยาในฟิลิปปิ
25.9.55
เรียนภาษาอังกฤษราคาถูกจากเพลง
Once upon a time there was a tavern
Where we used to raise a glass or two
Remember how we laughed away the hours
And dreamed of all the great things we would do
Where we used to raise a glass or two
Remember how we laughed away the hours
And dreamed of all the great things we would do
เพลงนี้มีลักษณะของการเล่าเรื่อง เพราะจะใช้คำกริยารูปอดีตตลอดทั้งเพลง
เช่นคำขึ้นต้นเพลง
once upon a time
ถ้าใครเคยอ่านนิทาน
หรือเรื่องเล่าในภาษาอังกฤษ ก็จะพบกับคำนี้
ซึ่งแปลว่า
ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในกาลครั้งหนึ่งมีโรงเหล้าที่ที่เราเคยชนแก้วกัน
ในความจำนั้นมีแต่เสียงหัวเราะ คละเคล้าความฝันอันยิ่งใหญ่ในสิ่งที่เราหมายมั่นอยากจะทำ
tavern แปลว่า โรงเหล้า
โรงเตี๊ยม used to เป็นคำกริยาแปลว่า เคย ส่วน raise แปลว่า ยกขึ้น
raise a glass ก็หมายถึง การยกแก้วขึ้น เป็นภาพที่แสดง ให้เห็นถึง ความสนุกสนาน
ในการดื่ม การสังสรรค์
Those were the days my
friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
โอ้เพื่อนเอ๋ย
คืนวันเหล่านั้นที่เราคิดว่ามันจะไม่มีวันจบสิ้นอยู่ชั่วกาล นาน
ที่เราทั้งร้องและเต้น
และจะดำเนินชีวิตในสิ่งที่เราเลือก
จะต่อสู้และคิดว่าไม่เคยพ่ายแพ้
เพราะในความเยาว์วัย
เราเต็มไปด้วยความมั่นใจในหนทางของเรา
live แปลว่า ดำเนินชีวิต lose แปลว่า พ่ายแพ้ สูญเสีย
ความหมายในท่อนต่อไปคือ
Then the busy years went rushing by us
We lost our starry notions on the way
If by chance I'd see you in the tavern
We'd smile at one another and we'd say
Those were the days my friend
We lost our starry notions on the way
If by chance I'd see you in the tavern
We'd smile at one another and we'd say
Those were the days my friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight
and never lose
For we were young and sure to have our way. จากนั้นคืนปีที่เร่งรีบก็ผ่านไป ระหว่างเวลานั้นเจตนารมณ์อันงดงามของพวกเราก็ค่อย
ๆ หายไป หากโดยบังเอิญถ้าฉันได้พบเธอในโรงเหล้า เราก็คงจะยิ้มให้กัน
และนึกถึงคืนวันที่เราคิดว่าจะไม่มีวันสิ้นสุด ที่เราได้ร้องและเต้น เลือก ที่จะใช้ชีวิตในหนทางที่เราเลือก ต่อสู้และไม่เคยพ่ายแพ้
มั่นใจในหนทางของพวกเรา เพราะไฟของความเป็นหนุ่มเป็นสาวของเรา
rush เป็นคำกริยา แปลว่า เร่งรีบ
notion คือ ความคิดความเห็น ความรู้สึก
starry เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า เต็มไปด้วยดาว
มาจากคำว่า star ที่แปลว่า ดาว
starry notions ก็คือความคิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เป็นความคิดที่เป็นอุดมคติ
อะไรทำนองนั้น
by chance คือ โดยบังเอิญ
one another คือ อีกคนหนึ่ง
smile at one another ยิ้มให้อีกคนหนึ่ง คือ
ส่งยิ้มให้กัน นั่นเอง
ถ้า เป็น shout at one another ก็คือ ตะโกนใส่กัน กับอีกฝ่ายหนึ่ง
Just tonight I stood before
the tavern
Nothing seemed the way it used to be
In the glass I saw a strange reflection
Was that lonely woman really me
เพียงแต่คืนนี้ฉันยืนอยู่ข้างหน้าโรงเหล้า
Nothing seemed the way it used to be
In the glass I saw a strange reflection
Was that lonely woman really me
เพียงแต่คืนนี้ฉันยืนอยู่ข้างหน้าโรงเหล้า
สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็น
ในกระจกนั้นฉันเห็นภาพสะท้อนประหลาด
ผู้หญิงที่ดูเปลี่ยวเหงาคนนั้นคือตัวฉันเองจริง
ๆ นะหรือ
I stood before the tavern คือ I stood in front of the tavern
การที่ใช้ before นั้นก็เพื่อความสละสลวยของบทเพลง
glass แปลว่า แก้ว กระจกเงา ในที่นี้หมายถึง กระจก
strange คือ แปลกประหลาด
reflection คือ ภาพสะท้อน
จากนั้นก็จะเป็นการซ้ำบทสร้อยที่นึกถึงคืนวันอันสนุกสนานสมัยเมื่อยังหนุ่มสาว
ความหมายในท่อนสุดท้าย
Through the door there came
familiar laughter
I saw your face and heard you call my name
Oh my friend we're older but no wiser
For in our hearts the dreams are still the same
เสียงหัวเราะที่คุ้นหูนั้นผ่านเข้ามาทางประตู
I saw your face and heard you call my name
Oh my friend we're older but no wiser
For in our hearts the dreams are still the same
เสียงหัวเราะที่คุ้นหูนั้นผ่านเข้ามาทางประตู
ฉันเห็นเธอ
แล้วก็ได้ยินเธอเรียกชื่อฉัน
โอ้ เพื่อนเอ๋ย
แม้ว่าเราจะมีอายุมากขึ้นแต่ว่าเราก็ไม่ได้มีสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าในใจของเรานั้นความนึกฝันมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
คำว่า laughter แปลว่า
เสียงหัวเราะ การหัวเราะ
familiar แปลว่า ที่คุ้นเคย
จากบทเพลงนี้
คิดว่าผู้หญิงคนนี้ เธอคิดว่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอคงจะไม่ประสบ ความสำเร็จเท่าไหร่ ซึ่งเราดูได้จากการที่เธอมองเงาของตนเองในกระจก เป็นภาพสะท้อนที่ประหลาด
strange reflection
คำว่า lonely
woman หญิงที่เปลี่ยวเหงา
และคำว่า older but no wiser ซึ่งจริงๆแล้วสำนวนที่ว่าolder and wiser นั้น
หมายถึง เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น สติปัญญาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย แต่ในที่นี้เธอไม่ได้คิด เช่นนั้น
คิดว่าการที่เธอผ่านชีวิตมามากพอสมควร ความรู้สึกสนุกสนานเฮฮานั้น ได้เปลี่ยนแปลงไป
ไม่เหมือนชีวิตในวัยหนุ่มสาวที่ยังมีไฟ ยังมีแรงต่อสู้ และคิดว่า จะไม่มีวันแพ้ แต่ในขณะนี้เธอไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว อย่างไรก็ตามเธอก็ยังนึกถึง คืนวันอันสนุกสนานกับเพื่อน
ๆ อยู่
หวังว่านักศึกษาคงจะได้รับความบันเทิง
และความรู้จากบทเพลงที่ได้แนะนำบ้างพอสมควร ขอให้นักศึกษาฝึกฝนบ่อย ๆ
จะช่วยให้เกิดทักษะและความชำนาญมากยิ่งขึ้น
21.9.55
เทคนิคทำข้อสอบGATภาษาอังกฤษให้ผ่านเกณฑ์
การ ที่เราจะทำข้อสอบGATภาษาอังกฤษให้ได้คะแนนดีๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ของเราเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับกลยุทธ์หรือการวางแผนการทำข้อสอบของเราด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้สามารถฝึกฝนกันได้ และเราก็ได้นำกลยุทธ์ในการทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดมาให้นำไปทดลองใช้กันด้วย ดังนี้
1. แน่นอนว่าในการทำข้อสอบแต่ละครั้งนั้น มันต้องมีบางข้อที่เราตอบไม่ได้ (ยกเว้นเราจะเก่งเกินไปหรือข้อสอบมันง่ายเกินไป) ขอให้จำไว้ว่า อย่าดันทุรังหาคำตอบในข้อที่เราทำไม่ได้โดยที่ยังไม่ได้ข้ามไปดูข้อต่อไป เพราะการดันทุรังทำมันอยู่ข้อเดียวนั้นทำให้เสียเวลาที่จะเอาไว้ทำข้ออื่น ซึ่งเราสามารถตอบได้ ที่สำคัญจะทำให้เราลนลานเมื่อรู้ว่าเวลากำลังจะหมดแต่ข้อสอบยังเหลืออีกหลาย ข้อที่ยังไม่ได้ทำ
2. ถ้าเป็นไปได้ พยายามทำข้อสอบไปเรื่อยๆ จนหมด โดยเลือกทำเฉพาะข้อที่เรามั่นใจมากๆ เสียก่อน ข้อไหนที่ยังไม่มั่นใจก็ให้เว้นเอาไว้
3. เมื่อทำข้อสอบจนหมดแล้ว จึงค่อยย้อนกลับมาทำในข้อที่เราเว้นไว้เมื่อสักครู่ และก็อีกเช่นเดิมคือ เลือกทำข้อที่พอจะทำได้จนหมดก่อน ส่วนข้อไหนที่คิดว่ายากจริงๆ ก็ให้เว้นไว้
4. หลังจากทำข้อสอบจนถึงหน้าสุดท้ายเป็นรอบที่ 2 แล้ว ทีนี้เราก็จะเหลือแต่ข้อสอบข้อที่ยากมากๆ หรือข้อที่เราทำไม่ได้จริงๆ
5. ในการตอบคำถามข้อสุดยากเหล่านี้ บางครั้งก็ต้องอาศัยการเดาเข้าช่วย แต่ถึงจะเดาอย่างไรก็ควรเดาให้มีความเป็นไปได้มากที่สุด อย่าเดาสุ่มแบบที่เรียกว่าหลับตาจิ้มเด็ดขาด ต้องอ่านคำถามแล้วเลือกคำตอบที่คิดว่าพอจะเป็นไปได้มากที่สุด และต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวพอสมควร เพราะคำตอบแรกที่นึกขึ้นได้มักจะมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกมากที่สุด เมื่อตอบแล้วจึงต้องข้ามไปเลย อย่าลังเลย้อนกลับมาแก้ไขใหม่
6. จำไว้ว่าถ้าเป็นข้อสอบแบบอัตนัย (บรรยาย) อย่าเว้นช่องคำตอบให้ว่าง เขียนอะไรก็ได้ที่พอจะเกี่ยวข้องหรือพอจะนึกได้ลงไป อย่างน้อยถ้าโชคดีไปเจอคนตรวจข้อสอบใจดีก็อาจจะได้คะแนนค่าน้ำหมึกมาบ้างก็ ยังดีกว่าไม่ได้คะแนนเลย ส่วนถ้าเป็นข้อสอบแบบปรนัย (ตัวเลือก) ยิ่งห้ามเว้นว่างเด็ดขาด เพราะถึงจะมั่วขนาดไหน แต่เราก็มีโอกาสตอบถูกถึง 1 ใน 4 หรือ 25% เลยทีเดียว
7. พยายามสังเกตเวลาแต่อย่าแตกตื่นกับเวลา สังเกตเวลาเพื่อนำมาคำนวณกับจำนวนข้อสอบที่เหลือให้เหมาะสม แต่ถ้ามันเหลือเวลาน้อยเกินไปก็อย่าตกใจ ให้เลือกทำข้อที่ทำได้ไปก่อน แล้วสุดท้ายค่อยเดาคำตอบข้อที่เหลือ
8. ห้ามโกงโดยเด็ดขาด เพราะการทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดให้อะไรกับเราได้มากมาย ถ้าเราโกง มันก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยในระยะยาว
ข้อควรจำ
1. ถ้าเราไม่รู้คำตอบก็อย่าไปกังวล เพราะการกังวลกับสิ่งที่เราไม่รู้มากเกินไปนั้น มันจะบั่นทอนจิตใจและความมั่นใจของเราจนทำให้เราไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้ จริงออกมาได้
2. จำไว้ว่าการทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดนั้นไม่ใช่แค่การทดสอบความสามารถของ เราเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้รู้ว่าเราจำเป็นที่จะต้องใช้ความมุ่งมั่นในการพัฒนาทักษะ ภาษาอังกฤษของเราอีกสักแค่ไหน
3. ถ้ายังไม่เข้าใจว่าเราตอบคำถามผิดอย่างไร ต้องกล้าที่จะถามครูหรือผู้รู้ การมัวแต่อายในความผิดพลาดไม่ได้ช่วยให้คุณพัฒนาขึ้นได้เลย ดังนั้น จงถาม!
19.9.55
วิธีเรียนภาษาอังกฤษราคาถูกให้เก่ง
นั้นเป็นอีดเรื่องนึงที่หลายๆ
คนอยากรู้มากๆ สงสัยกันบ้างมั้ยว่า แอ๊ะทำไมเพื่อเราคนนี้ มันเก่งภาษาอังกฤษจัง
มันก็คนไทเหมือนเรา โอ้ย อิจฉา วันนี้ทาง Eazy.com เลยขอนำเสนอบทความวิธีเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
เอาหละถ้าพร้อมที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ก็ลุยกันเลย
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
เราจะต้องมี Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งนี้
หากคุณไม่ทราบว่าอะไรคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดี
คืออะไร ลองย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่คุณเคยอยากได้ อยากมีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น
คุณอยากได้เสื้อผ้าดีๆ สวยๆ กระเป๋ายี่ห้อดังๆ หรือ แม้แต่ตอนที่คุณจีบแฟนคุณ
เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณมี Passion ซึ่งทำให้คุณทุ่มเทพละกำลัง
ความตั้งใจ ความพยายามให้ได้มันมา เพราะรู้ว่า มันมีค่ากับคุณแน่นอน ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน
สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีต่อภาษาอังกฤษ
ซึ่งเราต้องคิดต่อว่า แล้วเราจำเป็นต้องรู้ หรือ มีภาษาอังกฤษไว้ทำไม คำตอบคือ
ต้องมีครับ (Must have) เพราะในปัจจุบันนี้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเราคือ
ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการ ทำงาน
อันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน
ในปัจจุบันนี้
การรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษแล้ว
ลองจินตนาการการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานของบริษัท เมื่อคุณตอบคำถามว่า
คุณทราบภาษาอังกฤษ
ผู้ที่สัมภาษณ์คุณไม่ได้มองว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลย
บางบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังบังคับให้คุณไปสอบภาษาอังกฤษกับการสอบที่มาตรฐาน เช่น TOEIC, TOELF,
IELS ตลอดจน CU-TEP, TU-GET แล้วนำคะแนนสอบที่ผ่านตามเกณฑ์มาร่วมพิจารณากับคุณสมบัติอื่นๆ
ส่วนการสอบเข้าเรียนในระดับต่างๆ แทบไม่ต้องกล่าวถึง
ต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์ หรือ แทบจะเป็นตัววัดตัวสุดท้ายในการตัดสินในการเข้าศึกษา
ยิ่งกล่าวไปทำ
ให้เครียด จนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ เราลองย้อนกลับมาพิจารณา
แล้วจะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคงไม่มีกฎเกณฑ์ใดตายตัว
หากแต่จะเป็นเรื่องของการแนะนำส่วนตัว
แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นกับผู้ที่ศึกษาเองว่ามี Passion แล้วทุ่มเทกับภาษาอังกฤษ
แค่ไหน ดังนั้นผมขอแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำเอาไปใช้ นะครับ
หากแยกประเภทการเรียนภาษาอังกฤษ
ผมขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ
1.ไวยากรณ์(Grammar)
2.ศัพท์(Vocabulary)
3.การอ่าน(Reading)
4.การเขียน(Writing)
5.การฟัง(Listening)
6. การพูด (Speaking)
2.ศัพท์(Vocabulary)
3.การอ่าน(Reading)
4.การเขียน(Writing)
5.การฟัง(Listening)
6. การพูด (Speaking)
1.ไวยากรณ์(Grammar)
ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
จริง
แล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง
เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ
กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ)
อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ
การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม
ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน
กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด
หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์
เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ
ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว
คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว
ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีก
เรียนภาษาอังกฤษราคาถูกจากการฟังเพลง
ภาษาอังกฤษราคาถูกในชีวิตประจำวันในตอนนี้ เป็นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษราคาถูกจากบทเพลงที่ชื่อว่า Those Were The Days
เนื้อเพลง: Those Were The Days
ของ
Mary
Hopkins
Once upon a time there was a
tavern
Where we used to raise a glass or two
Remember how we laughed away the hours
And dreamed of all the great things we would do
Those were the days my friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
Those were the days, oh yes those were the days
Where we used to raise a glass or two
Remember how we laughed away the hours
And dreamed of all the great things we would do
Those were the days my friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
Those were the days, oh yes those were the days
Then the busy years went
rushing by us
We lost our starry notions on the way
If by chance I'd see you in the tavern
We'd smile at one another and we'd say
We lost our starry notions on the way
If by chance I'd see you in the tavern
We'd smile at one another and we'd say
Those were the days my
friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
Those were the days, oh yes those were the days
Just tonight I stood before the tavern
Nothing seemed the way it used to be
In the glass I saw a strange reflection
Was that lonely woman really me
Those were the days my friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
Just tonight I stood before the tavern
Nothing seemed the way it used to be
In the glass I saw a strange reflection
Was that lonely woman really me
Those were the days my friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
Those were the days, oh yes those were the days
Through the door there came familiar laughter
I saw your face and heard you call my name
Oh my friend we're older but no wiser
Through the door there came familiar laughter
I saw your face and heard you call my name
Oh my friend we're older but no wiser
For in our hearts the dreams are still the same
Those
were the days my friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
Those were the days, oh yes those were the days
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
La la la la...
Those were the days, oh yes those were the days
สำหรับเพลงนี้ จะมีท่วงทำนองที่สนุกสนาน และก็มีทั้งช่วงที่เพลงกระชับสนุกสนานและช้า ๆ
ไปพร้อม ๆ กัน เนื้อหาของเพลงว่าดังนี้

Once upon a time there was a
tavern
Where we used to raise a glass or two
Remember how we laughed away the hours
And dreamed of all the great things we would do
Where we used to raise a glass or two
Remember how we laughed away the hours
And dreamed of all the great things we would do
เพลงนี้มีลักษณะของการเล่าเรื่อง เพราะจะใช้คำกริยารูปอดีตตลอดทั้งเพลง
เช่นคำขึ้นต้นเพลง
once upon a time
ถ้าใครเคยอ่านนิทาน
หรือเรื่องเล่าในภาษาอังกฤษราคาถูก ก็จะพบกับคำนี้
ซึ่งแปลว่า
ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในกาลครั้งหนึ่งมีโรงเหล้าที่ที่เราเคยชนแก้วกัน
ในความจำนั้นมีแต่เสียงหัวเราะ คละเคล้าความฝันอันยิ่งใหญ่ในสิ่งที่เราหมายมั่นอยากจะทำ
tavern แปลว่า โรงเหล้า
โรงเตี๊ยม used to เป็นคำกริยาแปลว่า เคย ส่วน raise แปลว่า ยกขึ้น
raise a glass ก็หมายถึง การยกแก้วขึ้น เป็นภาพที่แสดง ให้เห็นถึง ความสนุกสนาน
ในการดื่ม การสังสรรค์
Those were the days my
friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight and never lose
For we were young and sure to have our way.
โอ้เพื่อนเอ๋ย
คืนวันเหล่านั้นที่เราคิดว่ามันจะไม่มีวันจบสิ้นอยู่ชั่วกาล นาน
ที่เราทั้งร้องและเต้น
และจะดำเนินชีวิตในสิ่งที่เราเลือก
จะต่อสู้และคิดว่าไม่เคยพ่ายแพ้
เพราะในความเยาว์วัย
เราเต็มไปด้วยความมั่นใจในหนทางของเรา
live แปลว่า ดำเนินชีวิต lose แปลว่า พ่ายแพ้ สูญเสีย
ความหมายในท่อนต่อไปคือ
Then the busy years went rushing by us
We lost our starry notions on the way
If by chance I'd see you in the tavern
We'd smile at one another and we'd say
Those were the days my friend
We lost our starry notions on the way
If by chance I'd see you in the tavern
We'd smile at one another and we'd say
Those were the days my friend
We thought they'd never end
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd sing and dance forever and a day
We'd live the life we choose
We'd fight
and never lose
For we were young and sure to have our way. จากนั้นคืนปีที่เร่งรีบก็ผ่านไป ระหว่างเวลานั้นเจตนารมณ์อันงดงามของพวกเราก็ค่อย
ๆ หายไป หากโดยบังเอิญถ้าฉันได้พบเธอในโรงเหล้า เราก็คงจะยิ้มให้กัน
และนึกถึงคืนวันที่เราคิดว่าจะไม่มีวันสิ้นสุด ที่เราได้ร้องและเต้น เลือก ที่จะใช้ชีวิตในหนทางที่เราเลือก ต่อสู้และไม่เคยพ่ายแพ้
มั่นใจในหนทางของพวกเรา เพราะไฟของความเป็นหนุ่มเป็นสาวของเรา
rush เป็นคำกริยา แปลว่า เร่งรีบ
notion คือ ความคิดความเห็น ความรู้สึก
starry เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า เต็มไปด้วยดาว
มาจากคำว่า star ที่แปลว่า ดาว
starry notions ก็คือความคิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เป็นความคิดที่เป็นอุดมคติ
อะไรทำนองนั้น
by chance คือ โดยบังเอิญ
one another คือ อีกคนหนึ่ง
smile at one another ยิ้มให้อีกคนหนึ่ง คือ
ส่งยิ้มให้กัน นั่นเอง
ถ้า เป็น shout at one another ก็คือ ตะโกนใส่กัน กับอีกฝ่ายหนึ่ง
Just tonight I stood before
the tavern
Nothing seemed the way it used to be
In the glass I saw a strange reflection
Was that lonely woman really me
เพียงแต่คืนนี้ฉันยืนอยู่ข้างหน้าโรงเหล้า
Nothing seemed the way it used to be
In the glass I saw a strange reflection
Was that lonely woman really me
เพียงแต่คืนนี้ฉันยืนอยู่ข้างหน้าโรงเหล้า
สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็น
ในกระจกนั้นฉันเห็นภาพสะท้อนประหลาด
ผู้หญิงที่ดูเปลี่ยวเหงาคนนั้นคือตัวฉันเองจริง
ๆ นะหรือ
I stood before the tavern คือ I stood in front of the tavern
การที่ใช้ before นั้นก็เพื่อความสละสลวยของบทเพลง
glass แปลว่า แก้ว กระจกเงา ในที่นี้หมายถึง กระจก
strange คือ แปลกประหลาด
reflection คือ ภาพสะท้อน
จากนั้นก็จะเป็นการซ้ำบทสร้อยที่นึกถึงคืนวันอันสนุกสนานสมัยเมื่อยังหนุ่มสาว
ความหมายในท่อนสุดท้าย
Through the door there came
familiar laughter
I saw your face and heard you call my name
Oh my friend we're older but no wiser
For in our hearts the dreams are still the same
เสียงหัวเราะที่คุ้นหูนั้นผ่านเข้ามาทางประตู
I saw your face and heard you call my name
Oh my friend we're older but no wiser
For in our hearts the dreams are still the same
เสียงหัวเราะที่คุ้นหูนั้นผ่านเข้ามาทางประตู
ฉันเห็นเธอ
แล้วก็ได้ยินเธอเรียกชื่อฉัน
โอ้ เพื่อนเอ๋ย
แม้ว่าเราจะมีอายุมากขึ้นแต่ว่าเราก็ไม่ได้มีสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าในใจของเรานั้นความนึกฝันมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
คำว่า laughter แปลว่า
เสียงหัวเราะ การหัวเราะ
familiar แปลว่า ที่คุ้นเคย
จากบทเพลงนี้
คิดว่าผู้หญิงคนนี้ เธอคิดว่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอคงจะไม่ประสบ ความสำเร็จเท่าไหร่ ซึ่งเราดูได้จากการที่เธอมองเงาของตนเองในกระจก เป็นภาพสะท้อนที่ประหลาด
strange reflection
คำว่า lonely
woman หญิงที่เปลี่ยวเหงา
และคำว่า older but no wiser ซึ่งจริงๆแล้วสำนวนที่ว่าolder and wiser นั้น
หมายถึง เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น สติปัญญาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย แต่ในที่นี้เธอไม่ได้คิด เช่นนั้น
คิดว่าการที่เธอผ่านชีวิตมามากพอสมควร ความรู้สึกสนุกสนานเฮฮานั้น ได้เปลี่ยนแปลงไป
ไม่เหมือนชีวิตในวัยหนุ่มสาวที่ยังมีไฟ ยังมีแรงต่อสู้ และคิดว่า จะไม่มีวันแพ้ แต่ในขณะนี้เธอไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว อย่างไรก็ตามเธอก็ยังนึกถึง คืนวันอันสนุกสนานกับเพื่อน
ๆ อยู่
หวังว่านักศึกษาคงจะได้รับความบันเทิง
และความรู้จากบทเพลงที่ได้แนะนำบ้างพอสมควร ขอให้นักศึกษาฝึกฝนบ่อย ๆ
จะช่วยให้เกิดทักษะและความชำนาญมากยิ่งขึ้น